มีประโยชน์ต่อสุขภาพของข้าวฟ่าง
1. มีสารต้านอนุมูลอิสระ
ข้าวฟ่างทุกชนิดอุดมไปด้วยโพลีฟีนอลซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและป้องกันการเกิดโรคร้าย เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง นอกจากนี้ข้าวฟ่างยังมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบ เสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง และต่อสู้กับไวรัสได้ด้วย
2. ควบคุมโรคเบาหวาน
ข้าวฟ่างมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำและอุดมไปด้วยไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำได้ อีกทั้งยังทำให้ร่างกายควบคุมน้ำตาลได้ดีขึ้น ข้าวฟ่างจึงเหมาะกับคนที่เป็นโรคเบาหวาน อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงการจัดการกับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ถือว่า ข้าวฟ่างสามง่าม (Finger millet) เป็นสุดยอดอาหารที่อุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยให้ตัวรับอินซูลินทำงานได้มีประสิทธิผลมากขึ้นและลดภาวะดื้อต่ออินซูลินได้ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยพบว่า การรับประทานอาหารที่มีแมกนีเซียมสูงยังสามารถช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคเบาหวานได้มากถึง 30 %
3. ดีต่อหัวใจ
ข้าวฟ่างเป็นแหล่งของแมกนีเซียมซึ่งสามารถช่วยลดความดันโลหิตและลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว โรคหลอดเลือดสมองที่เกิดจากภาวะหลอดเลือดแดงตีบแข็งเพราะมีไขมันสะสมที่เส้นเลือด ข้าวฟ่างยังเป็นแหล่งของธาตุโพแทสเซียมซึ่งดีต่อการทำงานของหัวใจ ทั้งนี้มีงานวิจัยพบว่า ข้าวฟ่างสามง่ามสามารถช่วยให้ระดับของคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) เพิ่มขึ้น
4. ปกป้องคุณจากโรคมะเร็ง
นักวิจัยพบว่า สารโพลีฟีนอลซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระฟีโนลิกบางประเภทที่พบได้ในข้าวฟ่างอาจช่วยป้องกันโรคมะเร็งหลายชนิดทั้งในระยะเริ่มต้นและระยะลุกลาม เช่น มะเร็งเต้านมและโรคมะเร็งลำไส้ นอกจากนี้สาร Anti-tumorigenic ที่พบในข้าวฟ่างสามง่ามยังช่วยต่อสู้กับโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวซีเอ็มแอล (Chronic Myeloid Leukemia – CML ) ซึ่งเป็นมะเร็งเม็ดเลือดชนิดที่พบได้น้อย ได้อีกด้วย
5. ทำให้กระดูกแข็งแรง
แคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่ช่วยสร้างกระดูก หากขาดแคลเซียม กระดูกจะเปราะและอ่อนแอ และด้วยความที่ร่างกายไม่สามารถผลิตแคลเซียมได้จึงเราควรได้รับแร่ธาตุชนิดนี้จากอาหาร ข้าวฟ่างสามง่ามมีแคลเซียมมากถึง 344 มิลลิกรัมซึ่งมากกว่าปริมาณแคลเซียมที่พบในนม อีกทั้งยังอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียมซึ่งมีคุณสมบัติช่วยรักษากระดูกให้แข็งแรงด้วย บางงานวิจัยบังพบว่า ธาตุแมกนีเซียมอาจลดความเสี่ยงที่กระดูกจะแตกหักและลดโอกาสที่จะเกิดโรคกระดูกพรุนได้
6. ช่วยย่อยอาหาร
ข้าวฟ่างมีแป้งที่ทนต่อการย่อย มีไฟเบอร์ทั้งชนิดที่ละลายน้ำได้และละลายน้ำไม่ได้ปริมาณสูงมาก การรับประทานข้าวฟ่างจึงสามารถควบคุมกระบวนการย่อยอาหารและป้องกันไม่ให้อาหารในทางเดินอาหารเคลื่อนเร็ว หรือช้าเกินไปได้ อีกทั้งข้าวฟ่างเป็นธัญพืชที่ปลอดกลูเตนจึงช่วยลดปัญหาการแพ้กลูเตนได้
7. ป้องกันนิ่วในไต
ไฟเบอร์ในข้าวฟ่างยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในไตได้ เนื่องจากอาหารที่มีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้สามารถเร่งการส่งอาหารที่ยังไม่ย่อยไปสู่ลำไส้และลดการหลั่งของกรดน้ำดี ซึ่งทำให้เกิดนิ่วในไตได้ มีงานวิจัยระยะยาวพบว่า ผู้หญิงที่รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูงมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคนิ่วในไตลดลง 17 % ซึ่งมากกว่าคนที่ไม่ได้รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์
8. ช่วยควบคุมน้ำหนัก
ธัญพืชเต็มเมล็ดที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์มักติดโผอยู่ในอาหารที่ช่วยลดน้ำหนักรวมทั้งข้าวฟ่างด้วย เนื่องจากจะช่วยทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้นเป็นผลให้ไม่รับประทานจุกจิกนั่นเอง นอกจากนี้ความสามารถในการลดคอเลสเตอรอลและการช่วยให้ตัวรับอินซูลินทำงานได้มีประสิทธิผลมากขึ้นของข้าวฟ่างก็สามารถทำให้ควบคุมน้ำหนักได้สำเร็จเช่นกัน